
BIM เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาสำหรับ การออกแบบอาคารด้วย ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อควบคุมกระบวนการต่างๆให้สอดคล้องและถูกต้องมากยิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องของแนวคิดของการออกแบบ, เวลาในการทำงาน, การควบคุมคุณภาพของงาน รวมถึงการประสานงานกับส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง โดยผู้ใช้สามารถกำหนดและใส่ข้อมูลต่างๆตลอดจนรายละเอียดลงไปในทุกๆส่วนขององค์ประกอบอาคาร เช่น ขนาดความกว้างยาว, วัสดุต่างๆ, รูปแบบในการเขียนแบบ, ราคา และอื่นๆ ทำให้ทุกส่วนของการออกแบบมีความครบถ้วนทั้งในรูปแบบ 2มิติและ 3มิติ โดยมิใช่เป็นเพียงแค่การเขียนเส้น หรือแค่การขึ้นรูปเป็น 3มิติเท่านั้น แต่เป็นการทำงานควบคู่กันไปทั้งกระบวนการ ทำให้สถาปนิกได้ใช้ทักษะในด้านออกแบบได้อย่างเต็มที่อย่างแท้จริง มากกว่าแค่การเขียนแบบธรรมดาทั่วไป
คุณสมบัติทั่วไปของโปรแกรมออกแบบอาคารที่ใช้เทคโนโลยี BIM
- มีคำสั่ง สร้างโมเดล อาคาร เป็น สามมิติ เช่น ผนัง ประตู หน้าต่าง เสา คาร บันได หลัง และ ส่วนประกอบอื่น ๆ ของอาคาร
- สามารถสร้าง แบบ แปลน รูปด้าน รูปตัดได้ โดยอัตโนมัติ การปรับแก้ ไข ที่ใดที่หนึ่งใน สามมิติ จะมีผลต่อแบบ ทุกหน้าโดยอัตโนมัติ ผู้ใช้งานไม่ต้องแก้ไขแบบทีละ แผ่น
- สร้างงาน นำเสนอแบบ ภาพเสมือนจริง หรือ ภาพยนต์ได้
- ทำการศึกษา ผลของแสงอาทิตย์ กระทำต่อตัวอาคารไ้ด้
- สรุปปริมาณ จำนวน และ พืนที่ ต่าง ๆ ของตัวอาคารได้ เช่น พื้นที่ใช้สอย พื้นที่ผนัง จำนวน ประตู หน้าต่าง ปริมาตรคาน ฯลฯ ได้


ประโยชน์ของเทคโนโลยี BIM
ปัจจุบัน BIM technology เข้ามามีบทบาทสำคัญในกระบวนการออกแบบก่อสร้างมากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก แทนที่การทำงานแบบเดิมที่เป็น 2 มิติ เข้าสู่การทำงานที่มากกว่า 3 มิติ ซึ่งมีข้อดีที่เป็นประโยชน์ต่อ สถาปนิก, บริษัทออกแบบ, เจ้าของโครงการ หลาย ๆข้อได้แก่
- ทำให้ทั้งผู้ออกแบบ ผู้ร่วมงาน ตลอดจนลูกค้า สามารถสื่อสารได้เข้าใจกันง่ายขึ้น เพราะเห็นเป็น 3 มิติ แบบชัดเจน
- ลดเวลาในส่วนของการเขียนแบบไปได้อย่างน้อย 30% ทำให้โครงการก่อสร้าง เสร็จเร็วกว่า เดิม
- ลดความผิดพลาดที่เกิดจากคน ในงานแก้แบบ
- ลดเวลาและข้อผิดพลาดในการสรุปปริมาณ
- ลดค่าใช้จ่าย ที่เกิดจากการก่อสร้าง ผิดแบบ
- ทำงานได้มากขึ้น เร็วขึ้นด้วย ทีมงาน เท่าเดิม นำมาซึ่งการเพิ่มผลประกอบการให้กับองค์กร